วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตุ๊กตาบลายธ์

Blythe ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์


Who's that Girl ?

Blythe อ่านออกเสียงว่า ' Blahyth ' หรือ ' Blind ' เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตาดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้
Blythe by Kenner

ปี 1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องมีให้ Mix&Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น

Gina Garan

30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan ( โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง Gina เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป้นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ' This is Blythe ' รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก

The Japanese Blythe

หลังจากที่ Hasbro ( ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ

กระแส Blythe fever ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่ Gina กับ Junko Wong ( โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ) ได้ร่วมมือกันจัดนิทรรศการต่างๆที่เกียวกับ Blythe ขึ้น ก็ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano , Prada , Gucci , Vivienne Westwood , Issey Miyake , Versace , Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว

ในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า ' Neo Blythes ' และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆของ Neo Blythes เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก ' Parco Limited Edition ' ( 1,000 ตัว ) ที่ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian , Rosie Red , Holly Wood , All Gold in One , Kozy Kape inspired , Aztec Arrival , Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 1 ปีของ Neo Blythes พร้อมเซอร์ไพรส์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า ' Petite Blythe ' ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆกับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆให้ดูมี Movement เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ถือว่าโดดเด่นและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly , Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว ' Blythe Belle ' ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น

Blythe Bodies

BL : ในช่วงปี 2001-2002 Neo Blythe ได้ผลิตออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตุ๊กตาที่มีอิทธิผลต่อแวดวงแฟชั่น ด้วยบอดี้แบบตุ๊กตา Licca ตุ๊กตา 6 ตัวแรกที่ปฏิวัติตุ๊กตารูปแบบเดิมๆด้วยลูกตาที่มีความแวววาว และพื้นผิวหน้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตา พร้อมกับแต่งแปลือกตาให้มีความกระจ่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสีผิวหน้าให้มันวาวขึ้นด้วย

EBL ( Excellent )

ในปี 2003 Takara เฉลิมฉลองวันครบรอบ 1 ปีแรกของ Blythe ด้วยการเปิดตัว Excellent Blythe ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับต้นแบบเดิมของ Kenner จะต่างกันก็ตรงวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น รุ่น Cinnamon Girl ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกและยางสีเข้ม มีความโปร่งใสมันวาว จนมาถึงรุ่น Fruit Punch แต่พลาสติกที่ใช้ทำลูกตาจะเป็นโทนสีสว่างขึ้น ( หลังจากที่หยุดผลิต EBL Dolls ... Takara ก็ได้ปล่อยตุ๊กตา Blythe รุ่นใหม่คือ Margaret Meets Ladybug และ Samedi Marche ออกมาตีตลาดของเล่นอีกอย่างต่อเนื่อง )

SBL ( Superior )

ในปี 2004 - ปัจจุบัน ยังคงอิง Blythe ต้นแบบดั้งเดิมของ Kenner ( 1972 ) มากที่สุด แต่รูปแบบนั้นเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจากการยกเครื่องเปลี่ยนตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงโครงสร้างภายใน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาที่มีความแวววาวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบอยู่ด้านหลังก็ถูกทำให้ดูสมูทขึ้น พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนใหม่บริเวณหนังศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความทนทานมากขึ้นด้วย

RBL ( Radiant )

ในปี 2006 Radiant Blythe ถูกผลิตขึ้นมาตีตลาดอีกครั้ง ภายใต้บอดี้ที่เหมือนกับ SBL และ EBL แต่แตกต่างกันที่ตรงส่วนโค้งของเปลือกตาที่ดูลึกและมีมิติขึ้น เช่นรุ่น Darling Diva , Last Kiss และ Star Dancer

ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนต่อไปอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวังก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จนหลงลืมคุณค่าของอดีต แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โหยหาอดีต เฉกเช่นเดียวกับ Blythe ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา แต่มันก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยังคงหลงเสน่ห์ในตัวมันนัก แม้เวลาจะผ่านไปสักกี่สิบปีก็ตาม .

...บทความจาก Special Story โดยคุณอภิญญา จากนิตยสารเปรียว...

เหล่าคนดังอย่าง "ชมพู่" อารยา ก็ยังหันมาสะสม ตุ๊กตาอินเทนรด์ นำแฟชั่น อย่าง ตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) ตัวนี้เช่นกัน

ตุ๊กตาหน้าเหมือนของรักของหวงของ "ชมพู่" อารยาหน้าตาละม้ายคล้ายตุ๊กตาเหลือเกิน "ชมพู่" อารยา เอ ฮาร์เก็ต เลยกลายเป็นนักสะสมตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) ระดับต้นๆ ของเมืองไทย นางเอกสาวชื่อดังรีบแจกแจงถึงที่มาในการเริ่มสะสมตุ๊กตาแบรนด์ดังว่า เดิมทีไม่คิดจะสะสม แต่เห็นความน่ารักของมันแล้วอดใจไม่ไหว

"ตอนแรกแตงโม (ภัทรธิดา พัชระวีรพงษ์) ส่งรูปตุ๊กตามาให้ดูก่อน เราเห็นรูปก็เอ๊ะ...ทำไมมันน่ารักจังเลย แต่ก็ยังไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน กระทั่งตอนที่แตงโมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวฮ่องกง เขาก็เลยซื้อมาให้ 1 ตัว ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็เหมือนผีสิง (หัวเราะ) ซื้อตุ๊กตาตลอด อย่างเมื่อก่อนไม่เคยไปสะพานเหล็ก คลองถม เพราะคิดว่ามีแต่ผู้ชายไปซื้อเกม ซื้อซีดี แต่พอรู้ว่าที่นั่นมีร้านขายตุ๊กตาบลายธ์ด้วย ก็เริ่มไปซื้อ ครั้งแรกที่ซื้อก็ 6-7 ตัวแล้วนะ ออกตัวแรงเลยล่ะ ใช้เวลาไม่ถึงเดือน ก็มี 30 ตัวแล้ว โดยเฉพาะนักสะสมใหม่อย่างเรา ถ้ารุ่นไหนยังไม่มีก็จะขยันซื้อ" นางเอกวิก 7 สีอธิบายเสียงใส
เม้าท์เรื่องตุ๊กตาสุดโปรดให้ฟังมาพักหนึ่งแล้ว คราวนี้ชมพู่ก็ขออวดตุ๊กตาแต่งชุดหวาน ที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาตุ๊กตาที่เธอสะสมทั้งหมดประมาณ 60 กว่าตัว นั่นก็คือราคา 2 หมื่นบาท ซึ่งบินไปซื้อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง แถมก่อนซื้อต้องอีเมลไปสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าด้วย ส่วนสาเหตุที่ราคาแพงหูฉี่ เพราะเป็นตุ๊กตาครบรอบปี 2004 ซึ่งผลิตออกมาเป็นจำนวนน้อยนั่นเอง

"จริงๆ ราคาตุ๊กตา 1 ตัว ราคาจะประมาณ 3,500 บาท ราคาจะแพงหรือไม่แพงอยู่ที่รุ่นด้วย ตอนนี้ถ้าเป็นตุ๊กตาที่ชมสะสมอยู่ ให้แก้ผ้าตุ๊กตา เราก็พอจะจำได้ว่าเป็นรุ่นไหน แต่ถ้าไม่ใช่รุ่นที่ชมสะสมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แหม...ชมก็ไม่ถึงขั้นเทพขนาดนั้น (หัวเราะ) เพราะยังสะสมไม่ถึงปีเลย แต่ออกตัวแรงมาก" ชมพู่ กล่าวพร้อมหัวเราะ

"ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะมองว่า เราสะสมอะไร ไร้สาระ แต่ถ้าเข้ามาอยู่ในกลุ่มจะรู้ว่า มันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาชอบเหมือนเรา ถามว่าหมดเงินไปเยอะมั้ยกับการซื้อตุ๊กตา เรียกว่าหมดไปเยอะ หลายแสนบาทอยู่นะ แต่ตุ๊กตาพวกนี้ขายคืนได้ทุกชิ้น เพราะเขามีราคา พอเราเริ่มสะสม เราก็เริ่มศึกษาจากหนังสือบ้าง จากเว็บไซต์บ้าง หรือมีคนที่เขาสะสมอยู่แล้วมาแนะนำบ้าง ตอนนี้ชมก็มีโครงการจะซื้อจักรเย็บเสื้อผ้าให้น้องตุ๊กตาด้วยนะ" ชมพู่ เล่าอย่างอารมณ์ดีทิ้งท้าย

สยามพารากอน ร่วมกับ ครอส เวิร์ลด์ คอนเนคชั่น (CWC) ประเทศญี่ปุ่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ และผู้ผลิต ตุ๊กตาไบลธ์ , มายด์ทริกเกอร์ (Mindtrigger) เจ้าของผลงานไบลธ์ที่คว้ารางวัลการตกแต่งระดับนานาชาติ, จูนี่ มูน (Junie Moom) บูติกจำหน่ายไบลธ์ยอดฮิต และ คิวคอนเซ็พท์สโตร์ (Qconceptstore) ร้านจำหน่ายตุ๊กตาไบลธ์อย่างเป็นทางการ (Official Blythe Shop)

จัดนิทรรศการ "ไบลธ์ อะ วันเดอร์ เวิลด์" งานฉลองครบรอบ 7 ปี ตุ๊กตาไบลธ์ (Blythe A Wonder World:7th Anniversary Charity Exhibition at Siam Paragon) นิทรรศการตุ๊กตาไบลธ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ขนขบวนตุ๊กตาสาวน้อยยอดฮิตที่สาวๆ ทั่วโลกหลงรัก ด้วยคอลเลคชั่นพิเศษกว่า 50 ตัว นำมาจัดแสดง ในระหว่าวันที่ 5-15 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ณ ฮอลล์ ออฟ มิเรอร์ ชั้น M สยามพารากอน


ตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) เป็นตุ๊กตาสาวน้อยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยเอกลักษณ์หัวและดวงตาที่กลมโต โดยไบลธ์มีกลไกเชือกด้านหลังที่ทำให้สามารถเปลี่ยนสีตาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาตกแต่งและดัดแปลงได้หลากหลายรูปแบบ หรือที่เรียกว่าการ Customize โดยสามารถเปลี่ยนสีตา สีผม ทรงผม ขนตา เปลี่ยนสีสันเมคอัพ เปลี่ยนทิศทางการมองของตา และแกะสลักปากเพื่อให้แสดงอารมณ์ต่างๆ กัน และสามารถ โพสต์ท่าได้หลากหลาย นอกจากนี้ ไบลธ์ยังถือเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวยง ด้วยเสื้อผ้าหน้าผมสุดเทรนดี้


ตุ๊กตาบลายธ์ ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 มีความสูงประมาณ 11 นิ้ว เรียกว่า "นีโอบลายธ์" (Neo Blythe) จนถึงปัจจุบัน มีการผลิตบลายธ์ออกมาแล้วมากกว่า 62 รุ่น และยังคงได้รับความนิยมและมีการผลิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี พ.ศ.2545 จึงมีการเปิดตัวบลายธ์รุ่นเล็กที่มีความสูงเพียง 4 นิ้วครึ่ง หรือที่เรียกกันว่า "เปอร์ตี้บลายธ์" (Petite Blythe) ซึ่งผลิตมาแล้วกว่า 100 รุ่น นอกจากนี้ สินค้าต่างๆ ที่มีรูปบลายธ์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับ หรือ เครื่องเขียน ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลกเช่นกันสยามพารากอน ร่วมกับ ครอส เวิร์ลด์ คอนเนคชั่น (CWC) ประเทศญี่ปุ่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ และผู้ผลิต ตุ๊กตาบลายธ์, มายด์ทริกเกอร์ (Mindtrigger) เจ้าของผลงานบลายธ์ที่คว้ารางวัลการตกแต่งระดับนานาชาติ, จูนี่ มูน (Junie Moom) บูติกจำหน่ายบลายธ์ยอดฮิต และ คิวคอนเซ็พท์สโตร์ (Qconceptstore) ร้านจำหน่ายตุ๊กตาบลายธ์อย่างเป็นทางการ (Official Blythe Shop)